วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

16363-208-18 การสวดมนต์

"สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานเป็นประจำ อโหสิกรรมก่อนค่อยแผ่เมตตา"
"มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้วเราก็อุทิศเลย"  
วิธีการสวดมนต์
สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมก่อนค่อยแผ่เมตตา
การสวดมนต์เป็นนิจนี้ มุ่งให้จิตแนบสนิท ติดในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ จิตใจจะสงบเยือกเย็นเป็นบัณฑิต มีความคิดสูง ทิฏฐิมานะทั้งหลาย ก็จะคลายหายไปได้ เราจะได้รับอานิสงส์ เป็นผลของตนเองอย่างนี้ จากสวดมนต์เป็นนิจ
การอธิษฐานจิตเป็นประจำนั้น มุ่งหมายเพื่อแก้กรรมของผู้มีกรรม จากการกระทำครั้งอดีต ที่เรารำลึกได้ และจะแก้กรรมในปัจจุบัน เพื่อสู่อนาคต ก่อนที่จะมีเวรมีกรรม ก่อนอื่นใด เราทราบเราเข้าใจแล้ว โปรดอโหสิกรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย เราจะไม่ก่อเวรก่อกรรมก่อภัยพิบัติ ไม่มีเสนียดจัญไรติดตัวไปเรียกว่า เปล่า ปราศจากทุกข์ ถึงบรมสุข คือนิพพานได้ เราจะรู้ได้ว่ากรรมติดตามมา และเราจะแก้กรรมอย่างไร ในเมื่อกรรม ตามมาทันถึงตัวเรา เราจะรู้ตัวได้อย่างไร เราจะแก้อย่างไร เพราะมันเป็นเรื่องที่แล้ว ๆ มา
การอโหสิกรรม หมายความว่า เราไม่โกรธ ไม่เกลียด เรามีเวรกรรมต่อกันก็ให้อภัยกัน อโหสิกันเสีย อย่างที่ท่านมาอโหสิกรรม ณ บัดนี้ ให้อภัยซึ่งกันและกัน พอให้อภัยได้ ท่านก็แผ่เมตตาได้ ถ้าท่านมี อารมณ์ค้างอยู่ในใจ เสียสัจจะ ผูกใจโกรธ อิจฉาริษยา อาสวะไม่สิ้น ไหนเลยล่ะท่านจะแผ่เมตตาออกได้ เราจึงไม่พ้นเวรพ้นกรรมในข้อนี้ การอโหสิกรรมไม่ใช่ทำง่าย
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๔ เรื่อง แก้กรรมด้วยการกำหนด โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์

สวดให้คล่องปาก
วิธีในการสวดมนต์พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สอนไว้ว่า
"เอาตำรามาดูกันก็ไม่ได้ผล แต่ดูตำราเพื่อให้ถูกวรรคตอน และให้คล่องปาก แล้วจะได้คล่องใจ เป็นสมาธิ"

การวางจิต
เมื่อสวดมนต์ได้ถูกวรรคตอน เป็นสมาธิดีแล้ว ก็วางจิตให้ถูกต้อง
สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ (ลิ้นปี่)
อโหสิกรรมเสียก่อนและเราก็แผ่เมตตา... (ลิ้นปี่)
มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้วเราก็อุทิศเลย (อุณาโลม)
"แผ่ส่วนกุศลทำอย่างไร อุทิศตรงไหน ทำตรงไหน และวาง จิตไว้ตรงไหน ถึงจะได้ อย่าลืมนะ ที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ สำรวม เวลาสวดมนต์นั้นน่ะ ได้บุญแล้ว ไม่ต้องเอาสตางค์ไปถวายองค์โน้น องค์นี้หรอก แล้วสำรวมจิต ส่งกระแสจิตที่หน้าผาก อุทิศส่วนกุศล.." สวดมนต์เป็นนิจ (ลิ้นปี่)
"ลิ้นปี่ จะอยู่ครึ่งทางระหว่างจมูกถึงสะดือ"
"........อธิษฐานจิต หมายความว่า ตั้งสติสัมปชัญญะ ไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมกาย วาจา จิตให้ตั้งมั่นแล้ว จึงขอแผ่เมตตาไว้ในใจ สักครู่หนึ่ง แล้วก็อุทิศให้มารดา บิดาของเรา ว่าเราได้บำเพ็ญกุศล ท่านจะได้บุญ ได้กุศลแน่ ๆ เดี๋ยวนี้ด้วย ผมเรียนถวายนะ มิฉะนั้นผมจะอุทิศไปยุโรปได้อย่างไร.........." อธิษฐานจิตเป็นประจำ (ลิ้นปี่)
แผ่เมตตากับอุทิศ มันต่างกัน ทำใจให้เป็นเมตตาบริสุทธิ์ก่อน ไม่อิจฉา ริษยา ไม่ผูกพยาบาทใครไว้ในใจ ทำใจให้แจ่มใส ทำให้ใจสบาย คือ เมตตาแล้วเราจะอุทิศให้ใครก็บอกกันไป มันจะมีพลังสูง สามารถจะอุทิศให้ คุณพ่อคุณแม่ ของเรากำลังป่วยไข้ให้หายจาก โรคภัยไข้เจ็บได้ เช่น วีโก้ บรูน ชาวนอรเวย์ที่เคยมาบวชที่วัดนี้ เป็นต้น... อโหสิกรรมก่อนแล้วค่อยแผ่เมตตา
"หายใจยาว ๆ ตั้งกัลยาณจิตไว้ที่ลิ้นปี่ ไม่ใช่พูดส่งเดช จำนะ ที่ลิ้นปี่ เป็นการแผ่เมตตาจะอุทิศก็ยกจากลิ้นปี่ สู่หน้าผาก เรียกว่า อุณาโลมา ปจชายเต...." แผ่เมตตา (ลิ้นปี่) อุทิศส่วนกุศล (อุณาโลม)
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๖ เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
ลำดับการสวดมนต์
"พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดู เคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์ อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ บอกว่า โยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด "พาหุงมหากาฯ" หายเลย สติก็ดีขึ้น เท่าที่ใช้ได้ผล สวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว (อิติปิโส ภะคะวา จนถึง พุทโธ ภะคะวาติ) ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล"
  • ตั้งนะโม ๓ จบ
  • สวดพุทธัง ธัมมัง สังฆัง
  • สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
  • สวดพุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)
  • สวดมหาการุณิโก
  • สวดพุทธคุณ อย่างเดียวเท่ากับอายุ บวก ๑
    เช่น อายุ ๒๘ ปี ให้สวด ๒๙ จบ อายุ ๕๔ ปี ให้สวด ๕๕ จบ เป็นต้น
  • แผ่เมตตา
  • อุทิศส่วนกุศ
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๓ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณ โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
เหตุใดต้องสวดพุทธคุณเท่าอายุเกิน ๑ (อิติปิโสเท่าอายุ+๑)
"อาตมาเคยพบคนแก่อายุ ๑๐๐ กว่าปี มีคนเอากับข้าวมาให้ ก็สวด อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ๑ จบ ให้ตัวเองก่อน สวนอีกจบหนึ่งให้คนที่นำมาให้ เสร็จแล้วให้ถ้วยคืนไป อาตมาจับเคล็ดลับได้ จะให้ใครต้องเอาทุนไว้ก่อน ถึงได้เรียกว่า สวดพุทธคุณเท่าอายุเกินหนึ่งไงเล่า"
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง ทำความดีนี้แสนยาก โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
"ที่ว่าให้ว่าสวดเท่าอายุนี่ หมายความว่าอายุเท่าไหร่ ๒๐ ถ้าเราสวดแค่ ๑๐ เดียว มันก็ไม่เท่าอายุสวดไปเนี่ยเท่าอายุก่อนนะมันคุมให้มีสติ แล้วก็เกินหนึ่งเพราะอะไร ที่พูดเกินหนึ่งเนี่ยหมายความ คนมักง่ายมักได้ คือมันมีเวลาน้อย ถ้าสวดแค่เกินหนึ่งทำอะไรให้มันเกินไว้ เหมือนคุณโยมเนี่ยไปค้าขาย ยังไม่ได้ขายได้สักกะตังค์เลย จะเอาอะไรไปให้ทาน ยังไม่ได้กำไรเลยต้องให้ตัวเองก่อนนะ นี่ต้องค้าขายต้องลงทุนนี่ ต้องลงทุนก็สวดไป แต่สวดมากเท่าไรยิ่งดีมาก ได้มีสมาธิมาก แต่อาตมาที่พูดไว้คือคนมันไม่มีเวลา ก็เอาเกินหนึ่งได้ไหม เกินหนึ่งได้ก็ใช้ได้นะ แต่ถ้าเกินถึง ๑๐๘ ได้ไหม ยิ่งดีใหญ่ ทำให้เกิดสมาธิสูงขึ้น"
จากบทสัมภาษณ์ในรายการ "ชีวิตไม่สิ้นหวัง" ทางช่อง ๓
การเปลี่ยนจาก "เต" เป็น "เม" ในบทสวดมนต์
"เม" คือ ข้า หมายถึง ผู้สวดนั่นแหละ ส่วน "เต" คือท่าน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เทศน์ตอบผู้ให้สัมภาษณ์จากเทปธรรมบรรยาย "สวดมนต์จนหายป่วย" และ "มารไม่มี บารมีไม่เกิด"
เราสามารถเลือกสวดได้ทั้ง "เม" และ "เต" แต่ขอฝากย้ำคำสอน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรื่องการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล มาให้พิจารณาดังนี้
"ท่านไปขุดน้ำกินเสียบ้านเดียว ท่านจะได้อะไรหรือ ขุดบ่อน้ำสาธารณะกินได้ทุกบ้าน ใครมาก็กิน ใครมาก็ใช้ ท่านได้บุญมาก มีถนนส่วนบุคคล ท่านเดินได้เฉพาะบ้านเดียว ไม่สาธารณะแก่คนทั่วไป ท่านจะได้บุญน้อยมาก มีอานิสงส์น้อยมาก นี่เปรียบเทียบถวาย เรื่องจริงเป็นอย่างนั้น"
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง วิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
วิธีการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
วันนี้จะขอฝากญาติโยมไว้ การอุทิศส่วนกุศล และการแผ่ส่วนกุศลไม่เหมือนกัน การแผ่คือการแพร่ขยาย เป็นการเคลียร์พื้นที่ แผ่ส่วนบุญออกไป เรียกว่า สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เรียกว่าการแผ่แพร่ขยาย แต่การอุทิศให้ เป็นการให้โดยเจาะจง ถ้าเราจะให้ตัวเองไม่ต้องบอก ไม่ต้องบอกว่าขอให้ข้าพเจ้ารวย ขอให้ข้าพเจ้าดี ขอให้ข้าพเจ้าหมดหนี้ ทำบุญก็รวยเอง เราเป็นคนทำ เราก็เป็นคนได้ และการให้บิดามารดานั้นก็ไม่ต้องออกชื่อแต่ประการใด ลูกทำดีมีปัญญา ได้ถึงพ่อแม่ เพราะใกล้ตัวเรา พ่อแม่อยู่ในตัวเรา เราสร้างความดีมากเท่าไรจะถึงพ่อแม่ มากเท่านั้น เรามีลูก ลูกเราดี ลูกมีปัญญา พ่อแม่ก็ชื่นใจโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปบอก
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๖ เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์


ผู้ปรารถนาจะปลูกเมตตาให้งอกงามอยู่ในจิต พึงปลูกด้วยการคิดแผ่ ในเบื้องต้นแผ่ไปโดยเจาะจงก่อน ในบุคคลที่ชอบพอ มีมารดา บิดา ญาติมิตร เป็นต้น โดยนัยว่าผู้นั้น ๆ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ มีสุขสวัสดี รักษาตนเถิด เมื่อจิตได้รับการฝึกหัดคุ้นเคยกับเมตตาเข้าแล้ว ก็แผ่ขยายให้กว้างออกไปโดย
ลำดับดังนี้ ในคนที่เฉย ๆ ไม่ชอบไม่ชัง ในคนไม่ชอบน้อย ในคนที่ไม่ชอบมาก ในมนุษย์และดิรัจฉานไม่มีประมาณ เมตตาจิต เมื่อคิดแผ่กว้างออกไปเพียงใด มิตรและไมตรีก็มีความกว้างออกไปเพียงนั้น เมตตา ไมตรีจิตมิใช่อำนวยความสุขให้เฉพาะบุคคล ย่อมให้ความสุขแก่ชนส่วนรวมตั้งแต่สองคนขึ้นไป คือ หมู่ชนที่มีไมตรีจิตต่อกัน ย่อมหมดความระแวง ไม่ต้องจ่ายทรัพย์ จ่ายสุข ในการระวังหรือเตรียมรุกรับ มีโอกาสประกอบการงาน อันเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และหมู่เต็มที่ มีความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขโดยส่วนเดียว
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๑๓ เรื่อง สุจริตธรรมเหตุแห่งความสุขที่แท้จริง โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์


สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมเสียก่อนและเราก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เราไปสร้างกรรมมาครั้งอดีต รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง รู้เท่าทันหรือไม่เท่าทันก็ตาม ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้แล้ว ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า มันก็จะน้อยลงไป
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๓ เรื่อง กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์

"ตั้งสติหายใจยาว ๆ ตอนที่กรวดน้ำเสร็จแล้วอธิษฐานจิตไว้ก่อน อธิษฐานจิตหมายความว่า ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมกาย วาจา จิต ได้ตั้งมั่นแล้ว จึงขอแผ่เมตตาไว้ในใจสักครู่หนึ่ง แล้วก็ขอ อุทิศให้บิดามารดาของเราว่า เราได้บำเพ็ญกุศล ท่านจะได้บุญได้ผลแน่ ๆ เดี๋ยวนี้ด้วย..."
"หายใจยาว ๆ ตั้งสติก่อน หายใจลึก ๆ ยาว ๆ แล้วก็แผ่เมตตาก่อน มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้ว เราก็อุทิศเลย อโหสิกรรม ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่พยาบาทใครอีกต่อไป และเราจะขออุทิศให้ใคร ญาติบุพเพสันนิวาสจะได้ก่อน ญาติเมื่อชาติก่อนจะได้มารับ เราก็มิทราบว่าใครเป็นพ่อแม่ในชาติอดีตใครเป็นพี่น้องของเราเราก็ไม่ทราบ แต่ แล้วเราจะได้ทราบตอนอุทิศส่วนกุศลนี้ไปให้ เหมือนโทรศัพท์ไป เขาจะได้รับหรือไม่ เราจะรู้ได้ทันที"
"นี่ก็เช่นเดียวกัน เราจะปลื้มปีติทันทีนะ เราจะตื้นตันขึ้นมาเลย ถ้าท่านมีสมาธิ น้ำตาท่านจะร่วงนะ ขนพองสยองเกล้าเป็นปีติเบื้องต้น ถ้าท่านมาสวดมนต์กันส่งเดช ไม่เอาเหนือเอาใต้ ท่านไม่อุทิศ ท่านจะไม่รู้เลยนะ... "
"วันนี้ท่านทำบุญอะไร สร้างความดีอะไรบ้าง ดูหนังสือท่องจำบทอะไรได้บ้าง ก็อุทิศได้ เมืองฝรั่งเขาไม่มีการทำบุญ เราไปทอดกฐิน ผ้าป่า ถวายสังฆทาน เขาทำไม่เป็น แต่ทำไมเขาเป็นเศรษฐี ทำไมเขามีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ทำไมถึงเจริญด้วยอารยธรรมของเขา เพราะเขามีบุญวาสนา เขาตั้งใจทำ มีกิจกรรมในชีวิตของเขา จะยกตัวอย่าง วันนี้เขาค้าขายได้เป็นพันเป็นหมื่นด้วยสุจริตธรรม เขาก็เอาอันนั้นแหละอุทิศไป วันนี้เขาปลูกต้นไม้ได้มากมาย เขาก็เอาสิ่งนี้อุทิศไป ว่าได้สร้างความดีในวันนี้ ไม่ได้อยู่ว่างแต่ประการใดเขาก็ได้บุญ ไม่จำเป็นต้องเอาสตางค์มาถวายพระเหมือนเมืองไทย ถวายสังฆทานกันไม่พัก ถวายโน่นถวายนี่แต่ใจเป็นบาป อุทิศไม่ออก บอกไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น จะไม่ได้อะไรเลยนะ ... "
"...ที่ผมแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล ไปเข้าบ้านลูกสาวญวนที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ทำอย่างนี้นะ เวลาสวดมนต์ อิติปิโส... ยาเทวตา... ตั้งใจสวดด้วยภาษาบาลีเช่นนี้ ที่หยุดเงียบไปน่ะ ผมสำรวมจิตตั้งสติ แผ่เมตตา จิตสงบดีแล้วจึงอุทิศไป"
"… ที่ท่องจำโคลงให้ได้น่ะเพื่อให้คล่องปาก ว่าให้คล่องปาก แล้วก็จะคล่องใจ คล่องใจแล้วถึงจะเป็นสมาธิ เป็นสมาธิแล้วถึง จะอุทิศได้ ไม่อย่างนั้นไม่ได้นะ"
"เอาตำรามาดูกันก็ไม่ได้ผล แต่ดูตำราเพื่อให้ถูกวรรคตอน และให้คล่องปาก แล้วจะได้คล่องใจ เป็นสมาธิ ถึงจะมีกำลังส่งอุทิศ ไม่อย่างนั้นไม่มีกำลังส่งเลยนะ"
"การอุทิศส่วนกุศล นี่สำคัญนะ แต่ต้องแผ่เมตตาก่อน แผ่เมตตา ให้มีสติก่อน แผ่เมตตาให้มีความรู้ว่าเราบริสุทธิ์ ใจมีเมตตาไหม และอุทิศเลย มันคนละขั้นตอนกันนะ แผ่เมตตากับอุทิศมันต่างกัน ทำใจให้เป็นเมตตาบริสุทธิ์ก่อน ไม่อิจฉา ไม่ริษยา ไม่ผูกพยาบาทใครไว้ในใจ ทำให้แจ่มใส ทำใจให้สบาย คือเมตตา แล้วเราจะอุทิศให้ใครก็บอกกันไป มันจะมีพลังสูง สามารถจะอุทิศให้คุณพ่อคุณแม่ของเรากำลังป่วยไข้ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ เช่น วีโก้ บรูน ชาวนอรเวย์ ที่เคยมาบวชที่วัดนี้ เป็นต้น"
"เรามาสวดมนต์ไหว้พระกันว่า โยโสภะคะวา.... ใจเป็นบุญไหม สวากขาโต... สุปฏิปันโน... ใจเป็นบุญไหม ท่านจะฟุ้งซ่านไปทางไหน สำรวมอินทรีย์ หน้าที่คอยระวัง เอาของจริงไปใช้ อย่าเอาของปลอมมาใช้เลย ...
ท่านทำประโยชน์อะไรในวันนี้ เอามาตีความ สำรวมตั้งสติไว้ก่อน ว่าขาดทุนหรือได้กำไรชีวิต และจะไปเรียงสถิติในจิตใจเรียกว่า เมตตา แปลว่าระลึกก่อน เมตตาแปลว่าปรารถนาดีกับตนเอง สงสาร ตัวเองที่ได้สร้างความดีหรือความชั่วเช่นนี้"
"หายใจยาว ๆ ตั้งกัลยาณจิตไว้ที่ลิ้นปี่ ไม่ใช่พูดส่งเดช จำนะ ที่ลิ้นปี่เป็นการแผ่เมตตา จะอุทิศก็ยกจากลิ้นปี่สู่หน้าผาก เรียกว่า อุณา โลมา ปจชายเต
นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ นะอยู่ที่ไหน ตามเอามา แล้วก็อุทิศทันที จึงถึงตามที่ปรารถนา ไม่ว่าเป็นโยมพ่อ โยมแม่ จะให้น้องเรียนหนังสือ จะให้พี่เรียนหนังสือ หรือจะให้บุตรธิดาของตน จะได้ผลขึ้นมาทันที"
"ลูกว่านอนสอนยาก ลูกติดยาเสพติด ถ้าทำถูกวิธีแล้ว มันจะหันเหเร่มาทางดีได้ พ่อแม่กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน ลูกจะไปสอนพ่อแม่ไม่ได้ มีทางเดียวคือ เจริญพระกรรมฐาน สำรวมจิตแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล
นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ นะอยู่ที่ไหนตามเอามาให้ได้ หมายความว่ากระไร ถ้าท่านทำกรรมฐาน ท่านจะทายออก นะตัวนี้สำคัญ
นะ มีทั้งเมตตามหานิยม
นะ แปลว่า การกระทำอกุศลให้เป็นกุศล
นะ แปลว่า ทำศัตรูให้เป็นมิตร สร้างชีวิตในธรรม

แล้วก็อุทิศส่วนกุศลไป"
"… อย่าทำด้วยอารมณ์ อย่าทำด้วยความผูกพยาบาท อาฆาตต่อกัน ละเวรละกรรมเสียบ้าง แล้วจิตจะโปร่งใส ใจก็จะสะอาด แล้วก็อุทิศไป
จิตมันไม่ติดไฟแดง จิตไม่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา จิตมันทะลุฝาผนังได้ ท่านเข้าใจคำนี้หรือยัง จิตมันตรงที่หมาย จิตไม่มีตัวตน จิตคิดอ่านอารมณ์ มีจิตโปร่ง ท่านจะทำอะไรก็โล่งใจ สบายอกสบายใจ นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ เอานะไปอุทิศให้ได้ ถ้าท่านมีครอบครัวแล้วโปรดตั้งปฏิญาณในใจว่า ให้บุตรธิดาของเรารวยสวยเก่ง เร่งเป็นดอกเตอร์ อย่างนี้ซิถึงจะถูกวิธีของผม"
"ท่านไปขุดน้ำกินเสียบ้านเดียว ท่านจะได้อะไรหรือ ขุดบ่อน้ำสาธารณะกินได้ทุกบ้าน ใครมาก็กิน ใครมาก็ใช้ ท่านได้บุญมาก มีถนนส่วนบุคคล ท่านเดินได้เฉพาะบ้านเดียว ไม่สาธารณะแก่คนทั่วไป ท่านจะได้บุญน้อยมาก มีอานิสงส์น้อยมาก นี่เปรียบเทียบถวาย เรื่องจริงเป็นอย่างนั้น"
"…อย่าลืมนะ ที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ สำรวมเวลาสวดมนต์นั้นน่ะ ได้บุญแล้ว … แล้วสำรวมจิตส่งกระแสจิตที่หน้าผาก อุทิศส่วนกุศล เวลาแผ่เมตตาเอาไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมอินทรีย์ หน้าที่คอยระวัง นะอุ อุอะมะ อุอะมะ อะอะอุ นะอยู่ตรงไหน เอามาไว้ตรงไหน จับให้ ได้แล้วอุทิศไป"
"ผมทำมา ๔๐ กว่าปีแล้ว ทำได้ผล ขอถวายความรู้เป็นบุญเป็นกุศล ให้ท่านได้บุญอย่างประเสริฐไป จะได้อุทิศให้โยมเขา เขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่เหลือวิสัยมันก็หายได้"
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง วิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
ถามตอบเรื่องการสวดมนต์
พิธีกร: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ
หลวงพ่อจรัญ:
ขอเจริญพร
พิธีกร: วันนี้ลูกอยากเรียนถามหลวงพ่อว่าการสวดพุทธคุณหมายความ ว่าอย่างไรค่ะ
หลวงพ่อจรัญ:
ขอเจริญพรพุทธคุณหมายความว่ากระไร พุทธคุณมีมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวพุทธคุณมันเรียกรวมกันเรียกพุทธคุณ ถ้าจะเรียกให้ครบถ้วนก็เรียกว่าไตรรัตน์ รัตนตรัย คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อยู่รวมกันเป็นพุทธคุณ เป็นอำนาจของพุทธคุณ อำนาจของพระพุทธเจ้า แต่ที่ว่าสวดพุทธคุณอานิสงส์หรืออะไรก็ตามมีความหมายยังไง มีความหมายมานานแล้วคนไทยชาวพุทธไม่ได้ศึกษา มาที่วัดกันเยอะแยะ อาตมาบอกว่าโยมไม่สบายใจสวดพุทธคุณสิ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ สวดพุทธคุณ ยาว.. ยาว... ไม่สวด แต่เสียใจด้วย สร้างความดี ยาว... สร้างความดีนิดเดียว ไปสร้างความ ชั่วยาวกว่าความดี มันจะไปกันได้หรือ ไปไม่ได้
พุทธคุณนี่คือคุณพระพุทธเจ้า เอาคุณพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ มีมานานแล้ว พระธรรมคุณ ก็หมายความว่าเอาธรรมะมาไว้ในใจ ปฏิบัติ สังฆคุณ ปฏิบัติได้แล้ว คือสังฆะแปลว่าสามัคคี กายสามัคคี จิตสามัคคี มีรูปแบบดีเป็นพฤติกรรม แสดงออกประพฤติดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว ก็สอนตัวเองได้สอนคนอื่นต่อไปเรียกว่าสังฆคุณ พุทธคุณนี่ก็หมายความว่าเอาคุณพระพุทธเจ้า มาไว้ในใจ คุณพระพุทธเจ้าคืออะไร มี ๓ ประการทุกท่าน
๑. พระปัญญาคุณ ๒. พระวิสุทธิคุณ ๓. พระมหากรุณาธิคุณ
แต่ถ้าจะตีความให้ชัด เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ ว่าพุทธคุณเนี่ยคุณพระพุทธเจ้า ปัญญาคุณหมายความว่าไร คนไทยชาวพุทธไม่เข้าใจเยอะ ปัญญาเกิด ๓ ทาง ทางที่ ๑ คือ สุตะมยปัญญา แปลว่าสดับตรับฟัง สดับตรับฟัง ต้องมีครรลอง ๕ ประการ ๑. ศรัทธาฟัง ๒. สนใจฟัง ๓. จดหัวข้อไว้ ๔. ทบทวน ๕. ปฏิบัติทันทีอย่ารอรีแต่ประการใด เกิดปัญญาในการฟัง เดี๋ยวนี้ไปฟังเป็นนักเรียนก็ตาม ฟังหลับ แล้วก็ญาติโยมฟังเทศน์ก็หลับ นี่มันมีศรัทธาฟังไหม ไม่สนใจฟังเลย ไม่จดหัวข้อไว้ ไม่เกิดปัญญา ในการฟัง ๒. ก็ยัง ยังไม่ครรลอง ยังไม่เต็มคราบ ยังไม่เข้าจุด ต้องมี จินตามยปัญญา ต้องเอาฟังแล้วเนี่ยเอาไปคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ ริเริ่มดำเนินงานทันทีอย่ารอรีแต่ประการใดถึงจะเกิดปัญญา ถ้าฟังแล้วเอาไปทิ้ง มันไม่เกิดปัญญาจะไม่ได้คิดไม่ได้ริเริ่ม จึงเรียกว่าความคิด มันเกิดปัญญา เดี๋ยวนี้มีคนความรู้มากเป็นด๊อกเตอร์ก็เยอะ แต่ไม่มีความคิดอยู่ ประการที่ ๓ สู้ประการที่ ๓ ไม่ได้ ภาวนามยปัญญา สวดมนต์ไหว้พระ สวดมนต์ไหว้พระไว้ แล้วก็จะนึกถึงภาวนา เช่นเด็กดูหนังสือสามหนเรียกว่า ภาวนา ดูหนังสือหนเดียวเรียกว่าดูหนังสือพิมพ์ทิ้งขว้างไป ดูครั้งที่หนึ่ง หมายความว่า รู้นี่เรื่องพระเวสสันดร ยกตัวอย่าง ดูครั้งสองซ้ำไปมีกี่ตอน มีกี่กัณฑ์ ดูครั้งที่สามเนื้อหาสาระเป็นประการใด นี่เรียกว่าภาวนา
ภาวนาแปลว่าอะไรอีก แปลว่า "สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน" ที่พูดมานานแล้ว ทำให้มันผุดขึ้นมาเอง และสามารถจะกำจัดความชั่วออกจากตัวได้ จึงเรียกว่าบริสุทธิ์ ในเมื่อเกิดบริสุทธิ์แล้ว บริสุทธิ์นี่ได้มาจากไหน ตีความต่อไป คนจะบริสุทธิ์ได้ก็ไม่เป็นคนหละหลวมเหลาะแหละเหลวไหลขึ้นห้วยลงเขา คนบริสุทธิ์นี่จะ คนมีจริงจัง จริงใจ ต่อตัวเอง จริงใจต่อคนอื่นเขา เรียกตีครรลองเป็นธรรมะให้เด็กเข้าใจ สัจจะ เมตตา สามัคคี มีวินัย ถึงจะบริสุทธิ์ได้ ถ้าไม่มีหลักสี่ประการเป็นการรับรองแล้ว คนนั้นไม่บริสุทธิ์และคนบริสุทธิ์แล้วที่มักจะมีเมตตา เรียกว่าพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า นี่เรียกว่าพุทธคุณ นี่เอามาไว้ในใจ อย่างนี้ไง และธรรมคุณก็เช่นเดียวกัน พอมีพุทธคุณซะแล้ว ธรรมคุณมาเอง มีธรรมะมาเอง พอธรรมะมีแล้วพระสงฆ์มาเลยเรียกว่า พระรัตนตรัย ขอเจริญพร อย่างนี้ความหมาย ขอเจริญพร
พิธีกร: ประเด็นถัดมานะคะ สวดพาหุงฯ น่ะค่ะ มีความเกี่ยวเนื่องกันยังไงคะ ที่หลวงพ่อให้อุบาสกอุบาสิกาที่นี่สวดพาหุงฯ
หลวงพ่อจรัญ:
ขอเจริญพร ดีแล้ว ถามนี่ดีแล้วคนไม่เข้าใจเยอะ แล้วไปสวดอย่างอื่นกันลามปาม พาหุงมหากาฯ มันบทติดต่อกัน พาหุงฯ เนี่ยมันมีมานานแล้ว แต่เราก็ไม่ทราบต้นเหตุสาเหตุที่มันมาจากไหน ก็มี ในหนังสือสวดมนต์ก็เยอะแยะ คนเปิดข้ามหญ้าปากคอกแท้ ๆ พาหุงมหากาฯ ก็แปลว่าพระพุทธเจ้าพิชิตมาร เรียกว่าปางมารวิชัย ผจญมารมา ๘ บท อยู่ในนั้นเลยไปดูเอาหาดูได้ ผจญมาร พระพุทธเจ้า ชนะมารแล้ว เรียกว่าพาหุงมหากาฯ มหากาแปลว่าอะไร ชยันโตโพธิยาฯ ใช่ไหม สุนักขัตตัง สุมังคะลัง ทำดีตอนไหนได้ตอนนั้น "ฤกษ์" จึงเอามานิยมสวดมนต์ด้วยการเจิมป้าย และก็เปิดสำนักงานและก็วางศิลาฤกษ์ หมาย ความว่า (๑.) ฤกษ์คืออากาศดี (๒.) ยามแปลว่าเวลาว่าง ๓. เครื่องพร้อม ที่จะดำเนินงานได้ทันทีอย่ารอรีแต่ประการใด ถึงได้เริ่มดำเนินงานใด ๆ เรียกว่ามหากาฯ
พาหุงฯ บทนี้คือพระพุทธเจ้าเราก่อนจะสำเร็จสัมโพธิญาณ พระองค์ผจญมารมาก มารมาผจญกับพระองค์มากมาย ใช่ว่าอธิบายทุกบททุกข้อ มันมี ๘ ข้อ แต่จะเสียเวลามากจะไม่สามารถจะจบในที่นี้ได้ ขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลายไปดูเอาในหนังสือสวดมนต์แปลในพาหุงมหากาฯ หรือ เรียกว่าฎีกาพาหุงฯ นี่อย่างนี้เป็นต้น
แสดงว่าพระพุทธเจ้านั่งหลับตาก็ไปสู้มาร ไปต่อสู้กับมาร "มารไม่มีบารมีไม่เกิด ประเสริฐไม่ได้" พระองค์ผจญมารมาครบแล้วชนะรวด ชนะรวดเรียกว่าพาหุงฯ นี่ เรามีมานานแล้วแต่คนน่ะ ไม่สวดกัน ต้นสายปลายเหตุมาจากไหนเดี๋ยวค่อยถามทีหลัง บางคนไม่รู้จริง ๆ พาหุงมหากาฯ ไม่รู้เลย หญ้าปากคอกแท้ ๆ ข้ามไปหมด เราเนี่ย..เราเกิดมาเนี่ยขอฝาก ท่านนุ.. โยมด้วยว่า มารไม่มี บารมีไม่เกิด คนเกิดมาเนี่ยสร้างความดีต้องมีอุปสรรค ถ้าเป็นความชั่วจะไม่มีอุปสรรค มันจะไหลไปเลยนะ จะไหลไปเลยนะ คนเราเนี่ยไม่ตีความ ความชั่ว นี่มันก็ไหลไปเลยไม่มีใครมาขัดคอ ถ้าหากว่าท่านด็อกเตอร์สร้างความดีปั๊บมีคนขัดคอ มีมารผจญแล้ว ต้องสู้มารต่อไปคือขันติ ขันติความอดทนอดกลั้น อดออมประนีประนอมยอมความ ต้องตรากตรำลำบาก อดทนต่อการทำงาน อดทนต่อความเจ็บใจในสังคมด้วย นี่ถึงจะพ้นเรียกว่าพระพุทธเจ้าพ้นมาร แล้วก็ท่านเข้าสมาธิเดี๋ยวสาธิตให้ดู นั่งสมาธิหลับตามารมารอบด้าน มาทุกอย่างเลย จิญจมาณวิกาก็หาว่าพระพุทธเจ้าท้องกับเขา ท่านก็ไม่ว่า เอ้าแผ่เมตตาด้วย การสวดพาหุงฯ นี่ ท่านก็สวดไปสวดมาชนะ ชนะแล้วเนี่ย ชนะแล้ว สะดุ้งมาร เรียกว่าชนะเรียกปางมารวิชัย เนี่ยปางมารวิชัยชนะมารได้ นี่บทนี้ชนะมาร ถ้าบ้านสาธุชนได้สวดแล้วชนะมาร มารไม่มีบารมีไม่เกิด ถ้าคนไหนไม่มีมาร คนนั้นไม่มีบารมีนะ นี่ขอให้ท่านทั้งหลายไปตีความเอาเอง เพราะเวลามันจำกัด นี่พาหุงมหากาฯ เป็นอย่างนี้ ขอเจริญพร
พิธีกร: ทำยังไงคะ ที่จะสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นพุทธคุณก็ดีนะคะ พาหุงฯ ก็ดี มหาการุณิโกฯ ก็ดี ให้เป็นอานิสงส์กับตัวของเราค่ะ
หลวงพ่อจรัญ:
เพราะงั้นต้องมีศรัทธา..ต้องมีความเชื่อความเลื่อมใสในการสวด ถึงจะเป็นอานิสงส์ในศรัทธาของเขาก่อน แต่บางคนเนี่ยนะ.. ต่างชาติต่างภาษา เขาไม่เข้าใจเลย ถ้าสวดไปนาน ๆ จะรู้เองนะ ถ้าเกิดสมาธิจะรู้ว่าเนี่ยแปลว่ากะไร มีคนทำได้เยอะ แต่คนเราสวดจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ ไปมันจะได้อะไร บางคนเนี่ยรู้ว่าสวดพุทธคุณ สวดมนต์ล่ะก็ดี สวดไปมันก็ไม่ดีเพราะอะไร จิตไม่ถึง เข้าไม่ถึงธรรมะ ถ้าจิตมีศรัทธาเลื่อมใส สวดให้มันเข้าถึง ๑. เข้าถึง ๒. จะซึ้งใจ ๓. จะใฝ่ดี ๔. จะมีสัจจะ พูดจริงทำจริงเลยเนี่ยนะออกมาชัดเลย นี่อานิสงส์ มีสัจจะ แล้วก็จะมี กตัญญูกตเวทิตาธรรม รู้หน้าที่การงานของตน นี่สวดเข้าไม่ถึงเนี่ย มันจะไปรู้ได้ยังไงจะซึ้งใจไหม ไม่มีศรัทธาเลยสวดจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ เหมือนพ่อค้า แม่ค้าไปแลกเปลี่ยนของในตลาดกันได้เป็นธุรกิจ การสวดมนต์ไม่ใช่นักธุรกิจ สวดมนต์เนี่ยต้องการให้ระลึกถึงตัวเอง มีสติสัมปชัญญะให้สวดเข้าไปสวดไป พอถึงจิตถึงใจแล้ว เหมือนอย่างเนี้ยยกตัวอย่าง เขายังท่องไม่ได้ อ่านไปยังไม่เป็นสมาธิ อ่านไปอ่านให้ดัง ๆ คล่องปาก พอคล่องปากแล้วก็คล่องใจ พอคล่องใจแล้วติดใจแล้วมันก็เกิดสมาธิ นี่.. พอเกิดสมาธิจิตก็ถึง พอถึงหนักเข้าแล้วจะซึ้งใจ พอซึ้งใจแล้ว.. ซึ้งธรรม ซึ้งธรรมะมันจะใฝ่ดี
พิธีกร: ที่ว่าจิตเป็นสมาธินี่ก็คือว่า จิตเป็นหนึ่ง
หลวงพ่อจรัญ:
จิตเป็นหนึ่ง นั่นเอกัตคตา ถ้าหากว่าจิตยังวุ่นวายหรืออะไร สวดมั่งแล้วก็ไปทำงานบ้างไม่ได้ผล
พิธีกร: ในลักษณะนี้หลวงพ่อขา การที่สวดมนต์เนี่ยนะคะ พอจิตเป็นหนึ่งแล้วเนี่ย ก็มีคุณค่าเท่ากับทำสมาธิเหมือนกัน
หลวงพ่อจรัญ:
ใช้ได้ ใช้ได้ นี่คือสมาธิ การสวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ทาไปก่อน สวดไปก่อน สวดแล้วเนี่ยมันซึ้งใจ จะเป็นต่างชาติ ต่างภาษา คนจีนหรือคนฝรั่งเขานิยมเนี่ย เขาสวดโดยไม่รู้เรื่อง แต่สวดไปสวดไปเกิดสมาธิน่ะสิ เกิดสมาธิเกิดจิตสำนึกเกิดหน้าที่การงาน และการงานนั่นคือกรรมฐานอันหนึ่ง เรียกว่าภาวนา สวดมนต์ เป็นภาวนา
พิธีกร: แล้วหลวงพ่อจะให้ลูกสวดสักกี่จบคะ เห็นบอกว่าให้สวด เท่าอายุบวกกับหนึ่งหรือคะ
หลวงพ่อจรัญ:
คืออย่างนี้ ขอเจริญพร ที่ว่าให้ว่าสวดเท่าอายุนี่ หมายความว่าอายุเท่าไหร่ ๒๐ ถ้าเราสวดแค่ ๑๐ เดียว มันก็ไม่เท่าอายุ สวดไปเนี่ยเท่าอายุก่อนนะมันคุมให้มีสติ แล้วก็เกินหนึ่งเพราะอะไร ที่พูดเกิน หนึ่งเนี่ยหมายความคนมักง่ายมักได้ คือมันมีเวลาน้อย ถ้าสวดแค่เกินหนึ่ง ทำอะไรให้มันเกินไว้ เหมือนคุณโยมเนี่ยไปค้าขาย ยังไม่ได้ขายได้สักกะตังค์เลย จะเอาอะไรไปให้ทาน ยังไม่ได้กำไรเลยต้องให้ตัวเองก่อนนะ นี่ต้องค้าขายต้องลงทุนนี่ ต้องลงทุนก็สวดไป แต่สวดมากเท่าไรยิ่งดีมาก ได้มีสมาธิมาก แต่อาตมาที่พูดไว้คือคนมันไม่มีเวลา ก็เอาเกินหนึ่งได้ไหม เกินหนึ่งได้ก็ใช้ได้นะ แต่ถ้าเกินถึง ๑๐๘ ได้ไหม ยิ่งดีใหญ่ ทำให้เกิด สมาธิสูงขึ้น
พิธีกร: อันนี้หมายถึง สวดทั้งบทพุทธคุณ บทพาหุงฯ และก็บทมหาการุณิโกฯ
หลวงพ่อจรัญ:
คืออย่างนี้ขอเจริญพร เพื่อต้องการอย่างนี้ เอาพุทธคุณ เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ ก็สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ หนึ่งจบแล้วใช่ไหม แล้วก็ย้อนมาพุทธคุณห้องเดียวเท่าอายุเกินหนึ่ง เนี่ยบางคนไม่เข้าใจเยอะ เลยไปเห็นว่า เอ้ยต้องสวดพาหุงฯ ด้วย ต้องเท่าอายุ เลยเลิกเลย ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ... จึงเลิกไป เลยทิ้งไปเลย หาว่ายาว ยาวอะไร เวลาไปนั่งแบะแซะดูทีวีไปนั่งโกหกมดเท็จเขาน่ะ ไม่ยาวเหรอ สร้างความดีน่ะนิดเดียว เวลาพระเทศน์น่ะ นี่พระเดชพระคุณเทศน์แค่ ๕ นาทีพอแล้ว เดี๋ยวผมจะไปรับแขก สร้างความดีนิดเดียว แล้วความไม่ดีมากกว่า บวกลบ คูณหารคอมพิวเตอร์จะตีมาว่ายังไงครับ จะตีออกมาแบบไหน ตีลบหรือตีบวกกันแน่ ขอเจริญพรอย่างนี้
พิธีกร: เรื่องคาถาพระชินบัญชร เห็นคนสมัยนี้นิยมสวดกันมาก มีความเกี่ยวข้องอย่างไร กับที่เราจะสวดพุทธคุณกับพาหุงฯ ไหมคะ แล้วก็มีที่มาอย่างไร
หลวงพ่อจรัญ:
ขอเจริญพรอย่างนี้นะ ส่วนมากจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ นิยมสวดชินบัญชรกันมาก แต่อย่าลืมว่าชินบัญชรนี่สมเด็จโต ท่านสวดบูชาพระอรหันต์ชั้นสูง แล้วเรายังไม่ได้ชั้นอะไร พุทธคุณสักข้อก็ไม่มี ธรรมะข้อเดียวไม่มีไปสวด อย่างคุณโยมนี่สมมุติยังไม่ได้ชั้นมัธยมเลย ขึ้นมหาวิทยาลัยเลยได้เหรอ ยังไม่ได้เลยต้องเอาไว้ก่อน ขั้นต้นของบันไดหญ้าปากคอก ต้องมีคุณพระพุทธเจ้าไว้ในใจ มีพระธรรมคุณ สังฆคุณ เรียกว่าพระรัตนตรัยยึดเหนี่ยวทางใจก่อน แล้วค่อยไปสวด อันโน้นน่ะได้ผลแน่ ถ้ายังไม่มีอะไรเลยพื้นฐานอะไรเลย สวดชินบัญชรสวดกันมาก แล้วก็ไม่ได้ผล สวดไม่ได้ผลแล้วก็มาว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าคนไหนมีธรรมะหรือบูชาพระอรหันต์ บูชาพระพุทธเจ้าได้แล้ว สวดได้แน่ ดีด้วย แต่ยังไม่รู้เรื่องเลย ก.ไก่ ก็ยังไม่รู้เรื่องเลยขึ้นมัธยมแล้ว ประถมยังไม่ผ่าน แล้วก็มัธยมไม่ผ่านผ่าเสือกไปมหาลัยเลย..ใช้ได้เหรอ แต่อาตมาว่าดีทั้งหมด ชินบัญชรก็ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่สมเด็จโตท่านบูชาพระอรหันต์ ท่าน ธรรมชั้นสูง
พิธีกร: อยากให้หลวงพ่อเล่าเรื่องลุงพัดน่ะค่ะ ว่าลุงพัดเขาสวดพุทธคุณ แล้วเขารักษาตัวเค้าเองได้อย่างไรคะ ลุงพัดที่ว่าเป็นอัมพาตค่ะ
หลวงพ่อจรัญ:
ขอเจริญพร คุณโยมถามดีมาก เป็นเรื่องจริงที่ผ่านมาในกฎแห่งกรรม ลุงพัดอายุ ๗๐ เศษ แต่อาตมาจำเศษไม่ได้ แกเป็นอัมพาตแล้วต้องให้ลูกให้หลาน ต้องมาเช็ดก้นเช็ดตูด เดินไม่ได้ นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง แล้วก็เสียใจ คิดกินยาตาย กินยาตายก็ให้พวกเด็ก ๆ หรือลูกหลานหรือใครก็ไม่ทราบล่ะ ไปซื้อยา ยากะโหลกไขว้น่ะ ยาที่กินแล้วตายน่ะ เอามาจะกิน เลยครูอ่อนจันทร์ครูโรงเรียนทั้งผัวเมีย ก็ได้ข่าวบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็ไปเยี่ยมลุงพัด ไปเยี่ยมลุงพัดแล้วก็ถาม บอกลุง..ทำไมถึงกินยาตายล่ะลุง ลุงก็เป็นทายก แล้วก็เป็นผู้เสียสละเป็นนักธรรมะธัมโม แล้วจะกินยาตายด้วยประโยชน์อันใด ลุงพัดก็แก้ปัญหา บอกว่า ครู...ผมน่ะ ก็แก่แล้ว แล้วก็ลูกต้องมาเอาใจใส่หลานต้องมาดูแล จะไปโรงเรียนก็เสียเวลาเขา ต้องมานั่งเช็ดก้นเช็ดตูด แล้วมาป้อนข้าวผมเนี่ย เกรงใจ ลูกหลาน ผมตายเสียดีกว่า เลยครูอ่อนจันทร์ก็พูด อ้อนวอนว่า ลุง.. อย่าตายเลย ตายเป็นบาป..ลุงก็ทราบ แต่เราเกรงใจหลาน เขาต้องมานั่งดูแลเรา กลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาเช็ดก้นเช็ดตูด ต้องมาปฏิบัตินะ ต้องมาป้อนข้าว เลยก็ลุงก็อยากจะกินยาตายให้มันหมดสิ้นไป ลุงอย่าเพิ่งกินเลยสวดมนต์เถอะ สวดมนต์อะไรเล่า สวดพุทธคุณ ของหลวงพ่อวัดอัมพวัน ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ
อ๋อ ลุงได้ แล้ว แต่ไม่ได้สวดเลยตาลุงก็เอ้าหันเหเร่ทิศตามครูอ่อนจันทร์ ที่เขาเคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ไง เลยก็สวด สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ แล้วก็สวดพุทธคุณเท่าอายุ ๗๐ เศษ เศษเท่าไร อาตมาจำไม่ได้ สวดไปแล้วหายใจยาว ๆ เจริญกรรมฐานไปด้วย ตาลุงนี่ก็เกิดปฏิกิริยาปวด ไปเรียกครูอ่อนจันทร์มา ปวดจัง ปวดจัง ขอเจริญพรคุณโยม ถ้าเป็นอัมพาตถ้าปวดต้องหายทุกราย ถ้าไม่ปวดไม่มีทางหาย เลยก็ลุงก็ปวดหนักเข้า ๆ ลุกนั่งดะแล้ว สรุปใจความว่าเดินได้ เดินได้ถีบจักรยานได้เลย และเป็นตัวตุ๊ย* ไปเลย เป็นพระเอกในเมืองหนองคายไป เลยก็ไปสอน บัดนี้บวชแล้ว ขี่จักรยานก็ได้ไปไหนก็ได้ เลยก็สอนเรื่องพาหุงมหากาฯ สวดกันใหญ่
พิธีกร: แต่ตอนนั้นไม่ได้มาหาหลวงพ่อนะคะ เพียงแต่ปฏิบัติตาม เท่านั้นเอง
หลวงพ่อจรัญ:
ไม่ได้มา ไม่ได้มา ปฏิบัติตามเหมือนคุณตะกี้นี้ไง ได้แต่ปฏิบัติตามอย่างนั้น เลยก็สวดใหญ่เลย สวดใหญ่เลยก็เป็นหมอเอกไปเลย
พิธีกร: อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณนี่นะคะ ได้แก่ตัวเราคนเดียว ทำให้คนอื่นได้ไหมคะ
หลวงพ่อจรัญ:
ได้ สวดพุทธคุณเนี่ย อาตมาไปเห็นโยมแก่คนหนึ่งที่ สุพรรณบุรีนะ อายุ ๙๐ กว่า ไม่มีครอบครัวนะ อาตมาไปได้ตัวอย่างมา มีกับข้าวบริบูรณ์เลยอาตมาเอาแล่นเรือยนต์ไป พระตั้งหลายองค์แล้ว ก็ฆราวาสอีก ๘ แกไม่มีหม้อข้าวหม้อเตาไฟเลยนะ บอกนิมนต์ฉันเพล เราบอก เอ้ย ยายแก่นี่โกหกเราแล้ว เราจำเป็นเหลือ ๑๐ นาทีจะเพลแล้ว จะไปตลาดซื้อไม่ทันก็จอดเรือเข้าไปที่แพแก อายุมากแล้วสวยด้วย เดี๋ยวเพล ตึง ตึง ตึง กับข้าวมาเต็มเลย มาเต็มเลยอาตมายังจำได้ อ้าว คนนั้นส่งมาถ้วย แก.. อิติปิ โส ภควา อะระหังสัมมา สัมพุทโธวิชชา... แล้วแกก็เท ถ่ายแล้ว อิติปิ โส ภควา... จบแล้วก็บอกนี่เอาไปฝากแม่เธอด้วย ถาม อาตมาถามว่า ยาย...ทำไมต้องสวดสองหน อิ...(อิติปิโส) หนนึงเราต้องเอาก่อน อิ...(อิติปิโส) หนนี้ไปให้เขา ได้แน่ ได้แน่ ๆ นี่มันมีประโยชน์อยู่ นี่อาตมาก็จำไว้
พิธีกร: อ๋อ หมายถึงว่าหลวงพ่อได้ฉันอาหารจากคุณยายคนนี้ ในลักษณะ อย่างนี้เหรอคะ
หลวงพ่อจรัญ:
เนี่ยกับข้าวเยอะเลย ถามบอก..ยายนี่มาไงกันเนี่ย แล้วก็ยายมีลูกไหม ฉันไม่มีครอบครัว มีนาอยู่เจ็ดแปดร้อยไร่ยกให้วัดและก็ยกให้เด็ก ๆ บ้านนี้หมด แล้วเขาก็มาปฏิบัติมานอนด้วยซักผ้าซักผ่อนให้ด้วย ขอเจริญพรพูดนอกนิดนึง บางคนเนี่ยกลัวไม่มีลูกมาปฏิบัติ มีลูกตั้งแปดเก้าคนไม่เคยมาเช็ดก้นเช็ดตูดเลยนะ เพราะเป็นเวรกรรมของแม่ไม่เคยทำต่อเนื่องกันมา แต่คุณยายเนี่ยไม่มีลูกไม่มีผัว นี่ขอพูดอย่างชาวบ้านนอก แต่มีคนปฏิบัติทั้งแถวเลย แล้วกลางคืนมีคนมานอน แล้วเสื้อผ้าซักรีดให้เสร็จแต่กับข้าวไม่มีเลย แต่ถึงเวลาเต็มเลย คนละถ้วยใช่ไหมทั้งแถวเลย เนี่ยแล้วแกก็ทำอย่างเนี๊ย ถามบอก ยาย..ทำไมต้องสวดสองหน อิ...(อิติปิโส) หนนึงเราต้องเอาไว้ก่อน เราต้องเอาเป็นบุญก่อน อิ...(อิติปิโส) หนที่สองเป็นกำไรให้เขาไป นี่อาตมาจำซึ้งมาแล้วก็ใช้ได้ผลอย่างนี้ ขอเจริญพร
พิธีกร: หลวงพ่อขาอานิสงส์ของพุทธคุณในการที่จะรักษาไข้เนี่ยนะคะ นอกจากจะรักษาไข้แล้วนี่ ยังเป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ไหมคะ
หลวงพ่อจรัญ:
เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากมาย เด็ก..ที่จะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยและฝรั่งมังค่าก็ตามนะ สวดเท่าอายุเกินหนึ่ง แล้วก็พาหุงมหากาฯ เข้าไว้ แล้วก็สวดเกินหนึ่งไป สอบไม่เคยตก นี่อานิสงส์สำหรับเด็ก สวดเข้ามันมีปัญญา มันมีปัญญามันมีความคิด และสามารถผจญมารได้ทุก ๆ บท ดีอย่างนี้ดีสำหรับเด็ก ให้เด็กสวดไว้ กล้ารับรองว่าเด็กเกเรเกเสน่ะพ่อแม่เอาใจใส่ลูกเป็นกรณีพิเศษ ให้ลูกสวดมนต์ไหว้พระไว้แล้ว ก็ไปสวดเท่าอายุ ไม่เคยพลาดเลยไปสอบไม่เคยตก ไปสอบสัมภาษณ์อะไรก็ไม่เคยตก ไปเมืองสหรัฐอเมริกาหรือไปกรุงปารีสไม่เคยตก ที่เป็นด๊อกเตอร์มานี่เขาสวดกัน ขอเจริญพร
พิธีกร: สำหรับคนที่อยากจะสวดพุทธคุณนะคะ แต่ยังไม่ได้รู้เบื้องต้นเลยนี่นะคะ หลวงพ่อจะกรุณาแนะนำอย่างไรบ้างคะ
หลวงพ่อจรัญ:
ได้ได้ ถ้ายังไม่รู้อะไรเลยนะ ถ้าขอให้มีศรัทธาหน่อย มั่นใจหน่อย เพราะว่าศาสนาเนี่ยต้องการจะให้มีศรัทธาและมั่นใจ ถ้ามั่นใจเป็นตัวของตัวเองขึ้นมานะ อ่านไปก่อน จะขี้เกียจท่องอ่านทุกวัน เดี๋ยวมันจำได้ พอจำได้จิตมันเป็นสมาธิ เอกัตคตา ได้ผลตอนนั้น ได้ผลแน่ ๆ บอกขอให้ทำเถอะ สวดดีกว่าไม่สวด ดีกว่าไปเที่ยวเล่นชมวิวชมอะไร ไปช้อปปิ้งกันเสียเวลา ขอเจริญพรอย่างนี้
หมายเหตุ ตัวตุ๊ยที่หลวงพ่อพูดถึงนั้น คือ ตัวตลก ในการสวดคฤหัสถ์ มีหน้าที่สร้างความขบขัน ความสนุกสนานให้แก่ผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นการพูดขัดแย้งหรือแสดงโลดโผนใด ๆ กับผู้สวดคนอื่น ๆ ที่มีทั้งหมด ๔ คนก็ได้ เพียงแต่ให้อยู่ในแบบแผนรักษาแนวทางมิให้ออกนอกลู่นอกทางไปเท่านั้น
จากบทสัมภาษณ์ในรายการ "ชีวิตไม่สิ้นหวัง" ทางช่อง ๓
*บทความนี้ถอดตรงตามภาษาพูด จากบทสัมภาษณ์ ควรฟังจากเสียงธรรมะบรรยายอีกครั้งหนึ่ง
ท่านสามารถรับฟังเสียงธรรมบรรยายได้ที่



มูลเหตุแห่งการค้นพบพระชัยมงคลคาถา
เมื่ออาตมาได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว.........
คืนหนึ่งอาตมานอนหลับ แล้ว ฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโส ผู้รัตตัญญู จึงน้อมนมัสการท่าน ท่นหยุดยืนตรงหน้าอาตมา แล้วกล่าวกับอาตมาว่า
"ฉันคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอไปที่วัดใหญ่ชัยมงคลเพื่อดูจารึก ที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้เป็นเจ้า เนื่องในวาระที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะ เหนือพระมหาอุปราชแห่งพม่า และประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย จากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"
ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งที่บรรจุให้ แล้วก็ตกใจตื่นตอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝัน ก็นึกอยู่ในใจว่า เราเองนั้น กำหนดจิตด้วยกรรมฐาน มีสติอยู่เสมอ เรื่องฝันฟุ้งซ่านเป็นไม่มี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ ในวัดใหญ่ชัยมงคล และจะทำการบรรจุพระบรมธาตุที่ยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น
อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร บอกนายภิรมณ์ ชินเจริญ ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่ง เพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาขอที่อาตมาได้สร้างขึ้น ตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใกล้กับวัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำ ที่ก๋งเหล๋งเป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมา ตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ ๆ แต่แตกหัก ผุพัง ทั้งนั้น หลายสิบปี๊บ อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง
วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึง ก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันได แล้วมองเห็นโพรงที่ทางเข้าทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง มีร้านไม่พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่า ลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านไม้ ก็ยอมตาย คนที่ร่วมเดินทางมา เขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ ๙.๐๐ น. อาตมาลงไปภายในพบลานทองคำ ๑๓ ลาน ดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริง ๆ อาตมาจึงได้พบว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านได้จารึกถวายพระพร ก็คือ บทสวดมนต์ที่เรียกว่า "พาหุง มหาการุณิโก" ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ศรีอโยธเยศ คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ ถวายพระพรแด่พระมหาบพิตรเจ้า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"

พาหุงมหาการุณิโก คืออะไร
พาหุงมหากา คือ บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็ พรพาหุงอันเริ่มด้วย พาหุงสะหัส จนไปถึง ทุคคาหะทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึง มหาการุณิโกนาโถหิตายะ และจบลงด้วย "ภะวะตุสัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธรรมา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต" อาตมาเรียกรวมกันว่า "พาหุงมหากาฯ"
อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือ บทสวดมนต์ที่ สมเด็จพระพนรัตน์ วัด ป่าแก้ว ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไว้สวดเป็นประจำ เวลาอยู่กับพระบรมราชวัง และในระหว่างศึกสงคราม จึงปรากฎว่า พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ทรงรบ ณ ที่ใดทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมา มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลย แม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่า ด้วยการกระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชาออก ไปราวกับห่าฝนก็มิปาน แต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากา ที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง อาตมาได้พบตามที่นิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมาด้วยความสบายใจ ถึงปากปล่องที่ลงไป เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ แต่อาตมาไม่ตอบ
ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาฯ ให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้น เป็นบทสวดมนต์ที่มีค่ามากที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา จากพญาวัสดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคีรี จากองคุลิมาล จากนางจิญมานวิกา จากสัจจะกะนิครนธ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มา ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้เป็นประจำทุกวัน จะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรือง ตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ
ขอให้คุณโยมช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยนะ ว่าให้สวดพาหุงมหากากันให้ถ้วนหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้วยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมาก ๆ เข้า สวดกันทั้งหลายประเทศ ก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า
ไม่เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่า นั้น ที่พบความมหัศจรรย์ของพบพาหุงมหากา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงพบเช่นกัน โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ดังนี้
"เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตี เมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเล็งเห็นว่า สงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว จึงทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้น แล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตาม พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยการเจริญพาหุงมหากา จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"

อานิสงส์ของการสวดพระชัยมงคลคาถา และพุทธคุณ
ที่มาของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา อาตมาได้ตำราเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นใบลานทองคำจารึกของ "สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว" ปัจจุบันเรียกว่า วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา ได้รจนาถวายพระพรชัยมงคลคาถาแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระพนรัตน์เป็นอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
อานิสงส์ของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากาฯ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่เคยแพ้ทัพ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไม่เคยแพ้ทัพ พระชัยหลังช้างของ ร.๑ นั้นมาจากบทพาหุงมหากาฯ
ผู้ใดสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากาฯ เป็นประจำทุก ๆ วันแล้ว มีแต่ชัยชนะทุกประการ เรียนหนังสือก็เกิดปัญญา มีแต่ความเก่งกล้าสามารถ ผู้ใดสวดทุกเช้าค่ำ คิดสิ่งใดที่ดีเป็นมงคล จะสมความปรารถนาทุกประการ
ปฐมเหตุ ต้นพุทราในพระราชวังโบราณอยุธยา
ขอฝาก พ.อ.ทองคำ ศรีโยธิน ไว้ด้วยว่าคัมภีร์ใบลานทองคำจารึกบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถานั้น อาตมาให้สัญญาสมเด็จพระพนรัตน์มาจะไม่ให้ใครดู ถ้าไปให้ใครดู อาตมาก็สิ้นชีวีแน่ ๆ เหมือนอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ที่ให้อาตมาเล่าเรื่องพระในป่าให้ฟัง
อาตมาบอกว่า ถ้าเล่าแล้วอาจารย์ต้องตายนะ เขาบอกว่าตายให้ตาย เพราะพระในป่าบอกว่า ตายไปแล้ว ๓ เดือนจะฟื้น และบอกว่าวันนี้จะมาสาวไส้หลวงพ่อวัดอัมพวันให้หมด
เลยบอกว่า เอ้าตกลง โยมต้องตายนะ เลยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปากบาง เขาอัดเทปไว้ ๕-๖ ม้วน ถ่ายรูปด้วย ขณะเล่ามีงูใหญ่โผล่ขึ้นมา ไม่มีรู หลานเขยจะตี ก็ห้ามไว้ ก็นึกว่าอาจารย์ปถัมภ์ต้องตายแน่
พอเล่าเหตุการณ์เรียบร้อย อาจารย์ปถัมภ์เอาพระเกศพระที่หล่อที่หอประชุมภาวนา-กรศรีทิพา มาขอถ่ายกลับไปเทปก็ไม่ติด รูปก็ถ่ายไม่ติด อาจารย์ปถัมภ์ก็แน่นที่หัวใจ รุ่งเช้าถึงแก่กรรม
ภรรยาอาจารย์ปถัมภ์ มาถามอาตมาว่า อาจารย์ปถัมภ์ จะฟื้นหลัง ๓ เดือนแล้วจริงหรือไม่ อาตมาบอกว่าโยมไปดูเสียให้ดี เลือดออกทาง หู ตา ปาก หรือเปล่า ถ้าออกแล้วไม่มีฟื้น ถ้าทวาร ๙ เปิดไม่มีฟื้นนะ
แต่คนที่ฟื้นแบบ พ.อ.เสนาะ ไม่ใช่ตายนะ แค่สลบไป หัวใจยังเต้นทำงานอยู่ ฟื้นได้ ถ้าขาดใจตาย ไม่มีลมวิญญาณออกไปแล้วไม่มีกลับมา เลยอาจารย์ปถัมภ์ถึงแก่ความตาย ถ้าอาตมาไม่ได้รับสัญญามา จะให้คุณโยมทองคำดูให้ได้
อย่าลืมนะเขาขึ้นไปยอดเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลกัน อาตมาโดดลงบ่อ ถ้าขึ้นไม่ได้ก็ขอตายที่นี่ ที่สมเด็จพระพนรัตน์ท่านมาเข้าฝันบอก และได้ตามนั้นด้วย
อาตมาถึงยืนยันว่า พระสงฆ์ไทยเรานี้ มีความรู้ในพระพุทธศาสนาลึกซึ้ง กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี พระอุบาลีที่ไปประกาศศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ท่านแปลพระไตรปิฎกจบ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านเป็นผู้รจนาฉันท์บาลีว่าด้วยชัยชนะของพระพุทธเจ้า ๘ บทที่เรียก พาหุงมหากาฯ ขึ้นมา ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนเรศวร
อาตมาจึงให้เขาสวดมนต์บท "พาหุงมหากาฯ" เป็นประจำ ถ้าเด็กมีศรัทธาสวด สอบได้ที่หนึ่งเลย ถ้าสวดไปซังกะตาย ไม่มีศรัทธาสวด รับรองไม่ได้ผล
บท "พาหุงมหากาฯ" เป็นจารึกของสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว เอาประวัติที่พระพุทธเจ้าผจญมาร มารจนาขึ้น แล้วท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เอาไปเผยแผ่ที่ประเทศศรีลังกา จนได้รับยกย่องมาจนทุกวันนี้
กลับสู่ด้านบน

ปฐมเหตุต้นพุทรา ในพระราชวังโบราณกรุงศรีอยุธยา
คุณโยมทองคำโปรดทราบ มีอีกคัมภีร์หนึ่ง เป็นคัมภีร์ฉลองวัด ฉลองศึกมหาอุปราช จารึกไว้ว่า ทำไมมีต้นพุทราที่พระราชวังมากมาย ถ้าไม่มีเหตุผลเขาไม่ปลูกไว้หรอก นี่คนโบราณ
คัมภีร์นี้บอกไว้ชัด ตอนที่สมเด็จพระนเรศวร ยกทัพไปได้นำคัมภีร์ชัยมงคลคาถาไปด้วย พอสวดพาหุงสะหัสฯ ช้างตกน้ำมันแผลงฤทธิ์เลย แม่ทัพนายกองตามไม่ทัน เข้าไปถึงกองทัพพม่า พม่าล้อมไว้เลย
ไปเพียงสองพระองค์กับพระเอกาทศรถ พระอนุชา พม่าจะฆ่าเสียก็ตาย แล้วเหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด แต่พระองค์มีบุญญาธิการเพราะมนต์บทพาหุงสะหัส
ผลสุดท้าย มีสุนทรวาจาทักทายปราศรัย ก่อนกระทำยุทธหัตถีว่าทั้งสองฝ่ายขอสมาลาโทษต่อกัน
พระนเรศวรตรัสว่า เจ้าพี่มหาอุปราชเอ๋ย เราเป็นพี่น้องกัน อย่าให้ทหารไพร่พลต้องล้มตาย เรามายุทธนากันตัวต่อตัวดีกว่า
พระมหาอุปราชเห็นด้วยทันที เพราะบทสวดมนต์พาหุงมหากาฯ อิติปิโส ภควา ใครจะสู้ได้ อัญเชิญพระคุณของพระพุทธเจ้าออกไปสนทนาไปด้วยจิตเป็นเมตตา คนจึงเชื่อถือ
ถ้าออกปากไปด้วยโทสะ คนไม่เชื่อถือ ลูกก็ไม่สนใจ นี่เรื่องจริงตรงนี้ พระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีด้วยช้างตกน้ำมัน มีกำลังเจ็ดช้างสาร มีพลังยิ่งกว่าช้างมหาอุปราช ก็พุ่งเข้าไปเลย
"เราไม่โกรธกันนะ อย่าเอาบาปกันนะ" พระมหาอุปราชก็ตกลง
พอพูดขาดคำปั๊บ ช้างแปร๋นเลย เสียท่าเข้าไปเลย เข้าไปทำอย่างไร มหาอุปราชฟันเลย ไปชนกันอย่างนี้จึงฟันถึง จำไว้
พระนเรศวรเก่งมาก ทรงหมอบเลยถูกพระมาลาเบี่ยง เบี่ยงแล้วทำอย่างไร กำลังอยู่กระชั้นชิด ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เอาของ้าวฟัน ไม่มีทาง ขอเคียงฟันได้เหรอ จะขาดไหม มันมีน้ำหนักอยู่ตรงไหน มันยาว ฟังตรงนี้นะ อยู่ในคัมภีร์เสร็จ
พระนเรศวรหมอบ ข้างหลังส่งของ้าว ภายใน ๑ วินาที สอดเข้าไปในรักแร้เลย แล้วชักด้ามกลับ ช้างเผ่นทันที ช้างพระนเรศวรเสียหลักแล้วก็ช่วยดึงด้วย
พระนเรศวรจับของ้าวแน่นเลย ของ้าวขึ้นมาที่คอสะพายแล่งแล้ว พอช้างดึงปั๊บ ช้างจะล้ม พระมหาอุปราชสะพายแล่งขาดลงคอช้างทันที แต่ช้างพระนเรศวรจะต้องล้ม เสียท่าทหารพม่าแน่ แต่ช้างกลับถอยหลังไปโดนต้นพุทรา เอาขายันเข้าไว้ได้ ต้นพุทราจึงมีบุญคุณต่อพระนเรศวร พระนเรศวรจึงเอาพุทราต้นนี้มาปลูก และไหว้ต้นพุทรา พระนเรศวรจึงบูชาต้นพุทรา ว่ารอดตายนี่เพราะต้นพุทราแท้ ๆ ช้างมายันต้นพุทราไว้  เพราะปฐมเหตุนี้ ต้นพุทราจึงมีมาก จนตราบเท่าทุกวันนี้ ในราชวังโบราณกรุงศรีอโยธยา
ใครไม่เชื่อไม่เป็นไร อาตมาเชื่อหมื่นเปอร์เซ็นต์ เพราะเราฝันของเราเอง และโดดลงบ่อได้คัมภีร์นี้มา คนอื่น ๆ ขึ้นข้างบน อัญเชิญพระธาตุไปบรรจุ และนำพระเครื่องเมืองพรหมนคร พระเสมาชัย พระเสมาขอ ไปบรรจุไว้ที่วัดใหญ่ชัยมงคลด้วย
พระเสมาขอ คือ พระนเรศวรขอเมืองคืน
พระเสมาชัย คือ ได้ชัยชนะปลงพระชนม์พระมหาอุปราชแล้ว พระนเรศวรสร้างแล้วบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดชัยชนะสงคราม อยู่ใต้วัดอัมพวัน
อาตมาก็ขอบรรจุพระเสมาขอ และเสมาชัยไว้ที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อเป็นอนุสรณ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสืบไป



เทวดา กับ การสวดมนต์
"หลวงพ่อครับ กระผมอยากทราบความคิดเห็นของหลวงพ่อ ที่มีต่อเทวดาที่เขาสวดชุมนุมเทวดานั้น จะมีจริงหรือไม่"
หลวงพ่อจรัญท่านตอบในทันทีว่า "อาตมาเชื่อ ทำไมจึงเชื่อ อาตมาจะเล่าให้ฟัง"
แต่เดิมนั้นอาตมาไม่เคยเชื่อเรื่องเทวดา เพราะอาตมาไม่เคยสัมผัสนี่ แล้วอาตมาจะไปเชื่ออย่างไร ในเมื่อแม่ชีก้อนทอง ปานเณร อายุ ๘๗ ปี มาบอกกับอาตมาว่า เทวดามาสอนสวดมนต์
แม่ชีมาเรียนกรรมฐาน อาตมาสอนให้เดินจงกรม ให้พิจารณาเห็นหนอ แต่แม่ชีเดินจงกรมแล้วไปคิดถึงเทวดา ไปเพ่งเทวดาเข้า เทวดาก็มา แกก็เก็บเงียบไว้ แต่แล้วในที่สุดแกก็เก็บไม่ไหวต้องการให้มีใครสักคนได้รับรู้เอาไว้ แกจึงมาบอกอาตมาว่า
"หลวงพ่อ ดิฉันเห็นเทวดาเจ้าค่ะ มาสอนสวดมนต์ให้ด้วยเจ้าค่ะ"
"เทวดาที่ไหนกับแม่ชีเอ๊ย อาตมาไม่เชื่อหรอก"
แต่แม่ชีก็ว่าไม่ได้โกหก อาตมาถามว่า "เทวดามาตอนไหนเล่า" แม่ชีบอกว่า
"พอดิฉันได้ยินนาฬิกาตี ๑๒ เป็นเวลาเที่ยงคืนเทวดาก็ปรากฎให้ดิฉันเห็นไม่ได้มาเปล่านะคะ มาสอนให้ดิฉันสวดมนต์บทเมตตาใหญ่ ดิฉันจึงสวดได้"
อาตมาก็บอกให้แม่ชีไปถามเทวดาว่าอยู่ที่ไหน วันรุ่งขึ้นแม่ชีก็มาเล่าให้ฟังว่า
เทวดาอยู่ที่ต้นพิกุล ต้นพิกุลที่ว่านี่ อาตมาถามผู้เชี่ยวชาญด้านต้นไม้ เช่นหลวงสมานวนกิจ อธิบดีกรมป่าไม่มาที่นี่ ในตอนที่แม่ชีเห็นเทวดา ประมาณ  พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงสมานฯ ว่า อายุกว่า ๑,๐๐๐ ปี เทวดาบอกแม่ชีว่า เดิมอยู่บนสวรรค์ แล้วละเมิดกฎต่อนางฟ้าจึงถูกให้ลงมาอาศัยวิมานต้นพิกุลอยู่จนกว่าจะหมดกรรม แล้วก็บอกวันเวลาเอาไว้ชัดเจน อาตมาก็จดไว้แล้วก็เป็นจริง พอถึงเวลาก็เหมือนที่เทวดาให้สังเกตสังกา
อาตมาก็ให้แม่ชีไปถามเทวดาว่า ไปชวนมนุษย์สวดมนต์ทุกบ้านหรือไม่ เพราะอาตมาเริ่มจะเชื่อ เพราะบทเมตตาใหญ่ที่แม่ชีสวดนี่ อาตมาไปหาที่ไหน ๆ ก็ไม่เจอ จนกระทั่งไปรู้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ได้นำเอาไปต่อท้ายพุทธมนต์พุทธาภิเษก และตำรับนั้นไปตกอยู่กับ พระครูลมูล วัดสุทัศน์ฯ พระครูลมูลนี้เป็นศิษย์สมเด็จพระสังฆราชแพนะ ทำสมเด็จเนื้อผงดีมากนะ มีละก็เก็บเอาไว้ให้ดีเชียว
อาตมาไปขอตำรับมาตรวจสอบที่วัด ท่านพระครูลมูลบอกว่าไม่ได้ๆ ตำรับนี้ของอาจารย์ อาตมาให้ใครยืมไม่ได้ อาตมาก็บอกว่าไม่ได้เอาไปเลย แต่จะเอาไปสอบทานอะไรหน่อย แล้วก็เล่าความจริงให้ท่านฟัง ท่านก็ใจอ่อนบอกว่า เอ้าเอาไปเถอะให้ยืมเจ็ดวัน แล้วเอามาส่งคืนนะ อาตมาก็เอามาเป็นตัวขอมทั้งนั้น อาตมาก็บอกแม่ชีว่า มาท่องให้อาตมาฟังหน่อย แม่ชีก็เริ่มท่อง ก็แกอายุ ๘๗ แล้วนี่นะ ก็ยานคางกว่าจะหลุดออกมาได้ตามประสาคนแก่
โยมเชื่อไหมล่ะว่า แม่ชีก้อนทอง คนนี้เป็นคนไม่รู้หนังสือ อ่านหนังสือไม่ออก ตัวขอมยิ่งไม่กระดิกใหญ่ แล้วเมตตาใหญ่ที่แกท่อง อาตมาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แกท่องด้วยความมั่นใจ อาตมาสอบกับต้นฉบับขอมของท่านพระครูลมูล ปรากฎว่าไงรู้ไหมโยม
"ตั้งแต่ตัวแรกจนตัวสุดท้ายไม่มีผิดเลย"
อาตมาถามว่าเทวดาไปชวนคนสวดมนต์ทุกบ้านหรือเปล่า เทวดาบอกกับแม่ชีมาว่า
"เปล่า บ้านไหนจัดที่บูชามีโต๊ะหมู่ มีพระพุทธรูปตั้งไว้ แล้วเจ้าของบ้านสวดมนต์ เทวดาก็มาร่วมสวดมนต์ด้วย พระพุทธรูปเหล่านั้น ที่ไม่ได้เข้าพิธีอะไร เช่ามาบูชาจากเสาชิงช้า หากเจ้าของบ้านเอามาสวดมนต์ไหว้พระทุกวันด้วยใจศรัทธา เทวดามาสวดมนต์ หนักเข้าก็เลยเข้าสิงรักษาองค์พระเอาไว้ ก็เลยศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ ทำให้เกิดสิริมงคลในครัวเรือน"
หลวงพ่อพระพุทธโสธรนั้น คนกราบไหว้บูชากันมากเลยมีเทวดามารักษา ๑๖ องค์ ทำให้เกิดอภินิหารนานาประการ พระพุทธรูปสำคัญ ๆ ก็มีเทวดารักษาทั้งนั้นแหละ
เทวดาท่านว่าอย่างนั้นและเทวดาก็ว่าบ้านไหนมี พระพุทธรูปแค่ตั้งโชว์ เทวดาก็ไม่ไปสวดมนต์ เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยทำวัตรสวดมนต์ เทวดาก็ไม่มา ผ่านเลยไปเลย มาไม่ลงมาสวดมนต์ คนเราก็มีเทวดารักษา คนดีมีศีลธรรม เทวดาที่เป็นบัณฑิตรักษา ถ้าคนชั่วขี้เหล้าเมายาทำชั่ว เทวดาพาลพวกมิจฉาทิฐิก็มารักษา
อาตมาถามต่อไปว่าแล้ว "เวลาพระสัคเคกาเมจะรูเป เทวดาลงมาหรือไม่"เทวดาว่า "รีบลงมา เทวดาบัณฑิตมาก่อน พอเห็นเจ้าภาพกินเหล้าเมาหงำกันในงานบุญก็เบ้หน้าแล้วกลับ เทวดาพาลก็เข้ามาแทนที่ เลยเกิดเรื่องเกิดราวตูมตามนั่นแหละ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น