วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

16071-201-17 วาทศิลป์


วาทศิลป์


ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภบิณฑบาตอันมีรสอร่อยที่พระสารีบุตรให้แก่พวกภิกษุผู้ดื่มยาถ่าย ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีลูกชายเศรษฐีอีก ๓ คนเป็นเพื่อนรักกัน อยู่มาวันหนึ่ง พวกเขาชวนกันไปนั่งสนทนากันเล่นที่หนทางสี่แพร่งนอกเมือง ในขณะนั้นมีนายพรานคนหนึ่งนั่งเกวียนบรรทุกเนื้อมาเต็มลำ เพื่อจะนำไปขายในเมืองพาราณสี
ลูกชายเศรษฐีทั้ง ๔ คนเห็นเขากำลังมา จึงปรึกษากันว่าใครจะสามารถใช้วาทศิลป์ขอเนื้อจากนายพรานคนนั้นได้มากกว่ากัน เมื่อนายพรานขับเกวียนเข้ามาใกล้แล้ว 
     ลูกชายเศรษฐีคนที่ ๑ จึงร้องขอเนื้อขึ้นว่า " เฮ้ย..นายพราน ขอเนื้อสักชิ้นหน่อยสิ "
     นายพรานพูดว่า " วาจาของท่านหยาบคายนัก เป็นเช่นกับพังผืด เราจะให้เนื้อพังผืดแก่ท่าน " แล้วให้เนื้อพังผืดแก่เขาไป
     ลูกชายเศรษฐีคนที่ ๒ ร้องขอเนื้อว่า " พี่ชาย ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ " 
     นายพรานพูดว่า " คำว่าพี่ชายนี้ เป็นส่วนประกอบของมนุษย์ที่เรียกขานกันในโลก วาจาของท่านเป็นเช่นกับส่วนประกอบ เราจะให้เนื้อส่วนประกอบแก่ท่านนะ" แล้วก็ยื่นเนื้อส่วนประกอบแก่เขาไป
     ลูกชายเศรษฐีคนที่ ๓ เอ่ยปากขอเนื้อว่า " พ่อ ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ " 
     นายพรานพูดว่า " บุตรเรียกบิดาว่า พ่อ ย่อมทำให้หัวใจพ่อหวั่นไหว วาจาของท่านเป็นเช่นกับน้ำใจ เราจะให้เนื้อหัวใจแก่ท่านนะ " แล้วก็ยื่นเนื้อหัวใจให้เขาไป
     พระโพธิสัตว์เอ่ยปากขอเนื้อเป็นคนที่ ๔ ว่า " สหาย ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ " 
     นายพรานพูดเป็นคาถาว่า
     " ในบ้านของผู้ใดไม่มีเพื่อน บ้านนั้นเป็นเช่นกับป่า 
        คำพูดของท่านเช่นกับสมบัติทั้งหมด
        สหาย ข้าพเจ้าให้เนื้อทั้งหมดแก่ท่าน "
 

ว่าแล้วก็ชวนพระโพธิสัตว์ขึ้นเกวียนไปที่บ้านของเขามอบเนื้อให้ทั้งหมด ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็เชิญนายพรานพร้อมภรรยาและบุตรธิดามาอยู่ด้วยกันให้เลิกทำการล่าสัตว์ เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันเกื้อกูลกันจนตราบสิ้นชีวิต

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
วาทศิลป์เป็นศิลปะชนิดหนึ่งที่พึงศึกษา เพราะพูดถูกใจคนย่อมมีผลดีมากกว่าผลร้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น